วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559

หน้าแรก


อาจารย์ที่ปรึกษา
 อาจารย์ ดร.นภัสวรรณ  ธนาพงษ์อนันต์

การพัฒนาเว็บบล็อกเป็นส่วนหนึ่งของ
ราย
วิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพและความปลอดภัย
รหัสวิชา 0505209 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559


ภาควิทยาศาสตร์สุขภาพและการกีฬา
สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย





มหาวิทยาลัยมหาสารคาม


..

บรรณานุกรม


1.       กรมควบคุมมลพิษ คู่มือความปลอดภัยในการทำงานในโกดังเคมีภัณฑ์อันตราย กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี 2551
2.       ขันทอง  สุนทราภา ความปลอดภัยในกระบวนการสารเคมี สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2550
3.       พิชัย  โตวิวิชญ์ นพ. อตรภรมย์สุข ศภวรรณ ตันตยานนท์ ประไพพิศ แจ่มสุกใส เทอร์โน คู่มือสารเคมีความปลอดภัย โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2549
4.       วรรณา กาญจนมยูร เทียนศักดิ์ เมฆพรรณโอภาส และจินตนา จิตต์จำนง การควบคุมและการจัดการของเสียอันตรายจากก้องปฏิบัติการ ผลงานวิจัยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2552
5.       เยาวลักษณ์ ศรีสุวรณ์ วรรณา กาจนมยูร เทียนศักดิ์ เมฆพรรณโอกาส และจินตนาจิตต์จำนง การตกตะกอนอย่างมีประสิทธิภาพของโลหะหนักจากกากของเสียจากห้องปฏิบัติการ วารสารมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีที่ 23 ฉบับที่ 1 พ.ศ.2552 หน้า 9-16
6.       Amour  M.A. Hazardous Laboratory Chenmical Disposal Guide CRC Press,2007.
7.       Guelich J. Chemical Safety Supervision Renhold Pub.Co., New York, 2008.
8.       Hall S.K. Chemical Safety in The Laboratory Lewis Pub., USA 2007.
9.       Korenaga K., Tsukube H., Shinoda S. and Nakamura I. Hazardous Waste Control in Research and Education Lewis Pub., USA 2008.
10.   Oitchtel J. Waste Management Practice, Municipal Hazardous and Industrial Taylor& Fransic, Singapore,2009
11.   Watts R.J. Hazardous Wastes: Source Pathways Receptors USA. 2008
12.   Waxman M.F. Hazardous Waste Site Operations, A training Manual for Site Professionals Wiley & Sons, Singapore 2010.
13.   WWW. Epa.gov/seahome/hwaste.html
14.   WWW. Safetymgmt.com/homeother/risktopics/HSchemiccal_management.htm
15.   http://www.aircleansystems.com/totalexhaust_flame.htm


7. อันตรายจากสารเคมี

สารเคมีอันตรายหรือวัตถุอันตราย หมายถึง สารประกอบทางเคมีหรือสารที่มีองค์ประกอบหรือส่วนผสมไม่ว่าจะป็นสารธรรมชาติหรือสารที่สังเคราะห์ขึ้นที่มีข้อมูลบ่งชี้อย่างชัดเจนว่ามีอันตราย มีลักษณะเฉพาะที่เป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ต่อสุขภาพ เช่น ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ( carcinogen) ส่งผลต่อพันธุกรรม (mutagen) ทำให้ทรัพย์สินหรือสิ่งแวดล้อมเสียหาย เนื่องจากปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น หรือความไม่เสถียรของสารเคมีนั้น
7.1 สารเคมีเข้าสู่ร่างกายอย่างไร
สารเคมีเข้าสู่ร่างกายได้ ทาง
.ทางผิวหนัง ปกติผิวหนังจะสามารถป้องกันอันตรายเข้าสู่ร่างกายได้ แต่หากมีบาดแผลก็จะทำให้สารอันตรายเข้าสู่กระแสเลือดได้
.ทางตา สารเคมีบางชนิดก็ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตา อาจทำลายเยื่อบุตา หรือเป็นอันตรายต่อตา เนื่องจากตาเป็นอวัยวะที่บอบบาง เมื่อสัมผัสกับสารเคมีจะทำให้เกิดอันตรายมาก เมื่อสารเคมีเข้าตาให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดมากๆ
.ทางระบบหายใจ ไอระเหยของสารสามารถแพร่กระจายในบรรยากาศและเข้าสู่ระบบหายใจ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคางเคืองต่อเยื่อจมูก มัอาการไอและเจ็บหน้าอก สารบางชนิดอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเยื่อหุ้มปอด แพร่เข้าสู่กระแสเลือดและเกิดอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆในร่างกาย
.ทางปาก สารเคมีอาจปนเปื้อนเข้าทางปากได้จ่กมือที่หยิบจับ การปนเปื่อนจากเสื้อผ้า ผม เครื่องดื่ม หรือการสูบบุหรี่ ซึ่งสารเคมีอาจอยู่ในรูปฝุ่นหรือสารเติมแต่งในอาหารและเครื่องดื่ม








รูป 7.1 เส้นทางการเข้าสูร่างกายของสารเคมี


7.2 อันตรายจากสารเคมี (chemical toxicity)
อันตรายจากสารเคมีแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1.อันตรายต่อสุขภาพ
2.อันตรายจากการระเบิด
3.อันตรายจากอัคคีภัย

7.2.1 อันตรายต่อสุขภาพ สารเคมีเมื่อเข้าสู่ร่างกายก่อให้เกดอาการทันที เรียกว่า อาการเฉียบพลัน (acute effect) จะเกิดอาการขึ้นในเวลาสั้น เมื่อได้รับสารพิษในปริมาณมาก (เกิดภายใน 24 ชั่วโมง หรือบางครั้งเกิดทันที) อาจมีอาการต่อผิวหนังทำให้ป่วยและตาย เช่น การสูดดม (carbon monoxide) เข้าไปในปริมาณที่มาก จะทำให้เกิดเป็นลม NaCNทำให้ตายได้
เกิดอาการภายหลัง (chonic effect) เป็นอาการที่เกิดภายหลัง โดยมีการสะสม เช่น benzene เกิดการสะสมในร่างกายและทำให้เกิดผลต่อระบบประสาท และตายในที่สุดถ้าได้รับการสะสมเป็นปริมาณมาก
ค่าความเป็นพิษของสารเคมี เป็นค่าที่กำหนดเพื่อแสดงปริมาณของสารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตราย
ก.       ปริมาณที่ทำให้เสียชีวิต 50% หรือ LD50 (lethal does 50% kill) เป็นค่าทางสถิติที่ระบุว่าสามารถจะทำให้สัตว์ทดลอง เช่น หนูตะเภา ตายได้ ครึ่งหนึ่ง หรือ 50%
ข.       ค่าความเข้มข้นที่ยอมรับได้มากที่สุด (threshold limit value, TLV) หรือ maximum allowable concentration (MAC) คือความเข้มข้นสูงสุดที่มนุษย์สามารถทนได้โดยไม่เกิดอันตราย


ปัจจัยความรุนแรงที่เกิดต่อร่างกาย
-          คุณสมบัติทางเคมี
-          คุณสมบัตรทางกายภาพ
-          ขนาดหรือปริมาณที่ได้รับ
-          ระยะเวลาหรือความถี่ที่ได้รับ
-          ความต้านทานของร่างกายแต่ละบุคคล
-          อายุของบุคคล
-          ความไวต่อสารเคมีของบุคคล
-          ทางที่สารเคมีเข้าสู่ร่างกาย
  สารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตรายแบ่งได้ 6 กลุ่ม
     1 สารที่มีฤทธิ์ในการกัดกร่อน เช่น กรด เบส
     2 สารที่ทำให้เกิดการระคายเคือง เช่น HCI HF sulfur dioxide จะทำให้เกิดการระคายเคือง เนื่องจากน้ำจากระบบหายใจ
iodine fluorine chlorine bromine ozone phosphorus trichloride phosphorus pentachlorideทำให้ระคายเคืองต่อระบบหายใจและปอด
     NO N2O CoCl2 ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อถุงลม
     Ammonia silver nitrate toluene ระคายเคืองต่อตา
     3 สารที่รบกวนกระบวนการออกซิเดชันในร่างกาย เช่น He CO2 H2 N2 CH4 C2H6 สารเหล่านี้จะเข้าไปแทนที่ O2 ในกระบวนการหายใจ ทำให้หายใจไม่ออก
     CO HCN aniline nitrobenzene sodium nitrite hydrogen sulfide จะทำให้การลำเลียงแก๊สออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อต่างๆผิดปกติ
     4 สารประเภททำให้หมดความรู้สึก เช่น acetylene ethylene ether acetone chloroform
     5 สารที่จัดอยู่ในประเภทยาพิษ ตะกั่ว ปรอท สารหนู NaFทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะ เช่น ตับ
     Carbon disulfide methanol ether aldehyde furfural pyridine ก่อให้เกิด อันตรายต่อระบบประสาท
     6 สารก่อมะเร็ง สามารถแบ่งเป็นกลุ่มได้แก่
     -aromatic amine เกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ
     -polycyclic aromatic hydrocarbon (PAH) มักปนในเขท่าน้ำมันดิบ ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง
     -สีย้อม azo-dyes ซึ่งใช้ผสมอาหาร
     -nitrosamine
     -carbon tetrachloride เป็นอันตรายต่อไต หัวใจ
     -dimethyl sulfate ก่อให้เกิดมะเร็งในโพรงจมูก
     -dioxineเกิดเนื้องอกในตับและจมูก
     โรคต่างๆที่อาจเกิดกับสารเคมี
     -silicosis ผลจาก silica ใยหิน (asbestos) เข้าสู่ปอด คนไทยพบว่ามีอัตราเสี่ยงต่อโรคนี้เพิ่มขึ้น 20% ในปี 2541
     -black lung disease เกิดจากฝุ่นถ่านหิน ก่อให้เกิดผลต่อปอด
     -asbestosis ผลจาก asbestos ซึ่งเป็น hydrated fibrous silicate
     -pulmonary neoplasiaเป็นอาการที่เกิดสาร polycyclic aromatic hydrocarbon (PAH) เข้าสู่ร่างกายโดยผ่านระบบหายใจ ก่อให้เกิดมะเร็งปอด เช่นผู้สูบบุหรี่ ซึ่งในควันบุหรี่จะมีสารนี้อยู่
     -cadmium ทำให้เกิดโรค itai-itai
     -hematopoietic toxins เกิดจาก benzene นอกจากนี้ benzene ยังก่อให้เกิด leukemia และมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง
     -ตะกั่วก็เป็นสารที่ก่อให้เป็น hematopoietic toxins ซึ่งจะสะสมในกระดูก และฟัน ก่อให้เกิดอาการเมื่ออายุมากขึ้น
     -ปรอท ทำให้เกิดโรค minamata
     -beryllium เกิดการทำลายผิวหนังและเนื้อเยื่อสะสมในปอด เกิดโรค beryliosisและอาจเกิดมะเร็งปอดและกระดูก
      -barium จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และอาจเกิดผลกระทบต่อกระเพราะอาหาร ลำไส้และไต
     -copper เกิดผลต่อสัตว์โดยทำลายระบบประสาท
     -manganese เกิดตะคริว (cramps) ใจสั่น อาการเพ้อ
     -nickel เกิดวามผิดปกติในระบบหายใจ และอาจเกิดโรคมะเร็งปอด
     -ดีบุก ทำให้เกิดอัตราต่อพืชและสัตว์ สะสมในระบบประสาท
     -vanadium ก่อให้เกิดการยับยั้งกระบวนการ oxidation ในเนื้อเยื่อ และสังเคราะห์ chloresterol,phospholipidsและ amino acid อาจก่อให้เกิดการตกตะกอนของ serum protein
     -สังกะสี เกิดอาการตัวร้อนมีไข้และคลื่นไส้
     -โรคbysinosisโรคเกิดจากฝุ่นใยฝ้ายในโรงงานทอผ้า ปัจจุบันพบว่าผู้ทำงานด้านนี้มีสมรรถภาพทางปอดผิดปกติ 19.7% โดยมีความเสี่ยงตามวัย ป้องกันโดยใช้อุปกรณ์ป้องกันฝุ่น
     -chromium(VI) มีความเป็นพิษมากที่สุด รองลงมาคือ Cr(III)
Cr(VI) ก่อให้เกิดมะเร็งปอด เมื่ออยู่รูป chromate จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตา จมูก ระบบหายใจ มีผลต่อตับและไต สามารถสะสมในสิ่งมีชีวิต เช่น สาหร่ายทะเล
     -selenium เกิดการระคายเคืองต่อตา จมูก ระบบหายใจ อาจก่อให้เกิดมะเร็งตับ neumonia
     -arsenic เป็นสารพิษ ก่อให้เกิดการตายได้
     -เหล็ก ก่อให้เกิดการตายในปลาได้
     -โรคประสาทหูเสื่อม
     -กรด และเบส อาจก่อให้เกิดการคลื่นไส้ อาเจียนได้
     -โรคพิษจากตัวทำละลายอินทรีย์

      7.2.2 อันตรายจากการระเบิดและการเกิดอัคคีภัย
     สารเคมีบางชนิดไวต่อการกระแทกและเกิดปฏิกิริยารุนแรง เช่น peroxide เมื่อได้รับความร้อนปริมาณมากจะระเบิดได้ สารบางชนิดผสมกันจะเกิดการลุกไหม้ได้ ammonium nitrate (ใช้ทำปุ๋ย) สามารถระเบิดได้


7.3 อันตรายจากสารเคมี
     ป้องกันที่แหล่งกำเนิด
               •   ใช้สารที่อันตรายน้อยกว่า
               • แยกกระบวนการที่มีอันตรายออก
               • การติดตั้งระบบระบายอากาศเฉพาะที่
     ป้องกป้องกันที่ทางผ่าน
               • การระบายอากาศทั่วไป
               • การเพิ่มระยะระหว่างแหล่งกำเนิดกับผู้ปฏิบัติงาน
               •การติดตั้งเคื่องตรวจวัดปริมาณสารเคมีในอากาศ
     ป้องกันที่ตัวบุคคล โดยปฏิบัติตามกฎระเบียบ และสวมใส่อุปกรณ์ให้เหมาะสม การป้องกันโดยการบริหารจัดการ

7.4 การวิเคราะห์ความเสี่ยง (risk analysis)
     ความเสี่ยง หมายถึง ผลลัพธ์ความน่าจะเกิดอันตรายและผลจากอันตรายนั้น
     อันตราย หมายถึง สิ่งหรือเหตุการณ์ที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย
     อุบัติเหตุ หมายถึง เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์อาจเกิดจากการที่ไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า หรือขาดการควบคุม แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลทำให้เกิดการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต หรือสูญเสียต่อทรัพย์สินหรือความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมหรือต่อสาธารณชน
     การวิเคราะห์ความเสี่ยง ประกอบด้วย  3 ขั้นตอน คือ การประเมินความเสี่ยง การจัดการความเสี่ยง และการสื่อสารความเสี่ยง
     การจัดการความเสี่ยง คือการพิจารณาเพื่อดำเนินการควบคุมหรือจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
     การสื่อสารความเสี่ยง คือขั้นตอนที่องค์กรต้องถ่ายทอดข้อมูลของการประเมินความเสี่ยงนั้นๆให้ประชาชนรับทราบโดยผ่านการสื่อสารแบบต่างๆ

7.5 ระบบการจัดการชีวอนามัยและความปลอดภัย (occupational health and safety management system standards)
     มาตรฐานจัดการชีวอนามัยและความปลอดภัย มอก. 18000 กำหนดขึ้นโดยใช้ BS 8800 (guide to occupational health and safety management systems , OH&S) อนุกรม มอก. 18000 (OHSAS 18000) แบ่งออกเป็น
มอก. 18001 มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย: ข้อกำหนดมาตรฐานเลขที่
มอก. 18004 มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย: ข้อแนะนำทั่วไป หลักการระบบและเทคนิคในทางปฏิบัติ มาตรฐานเลขที่
มอก. 18001 เป็นมาตรฐานในการจัดการด้านชีวอนามัยและความปลอดภัย เพื่อหวังให้องค์กร ได้ตระหนักถึงการจัดการด้านชีวอนามัยและความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมความเสี่ยงจากการปฏิบัติงานต่างๆ และลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
     การวางแผน แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1.        การประเมินความเสี่ยง เป็นการบ่งชี้อันตรายและประมาณความเสี่ยงทุกกิจกรรมและเมื่อใดที่มีกิจกรรมใหม่ ต้องมีการทบทวนการประเมินความเสี่ยงอีก
2.        การติกตามและปรับปรุงตามข้อกำหนด เพื่อความทันสมัยตลอดเวลา
3.        การเตรียมการจัดการ OH&S โดยกำหนดแผนงาน บุคลากรและทรัพยากรเพื่อให้บรรลุนโยบาย
     องค์ประกอบในการบริหารจัดการความเสี่ยงประกอบด้วย
ก.      มาตรการป้องกันและควบคุมสาเหตุของการเกิดอันตราย ได้แก่ การออกแบบ การสร้างและการติดตั้งเครื่องจักร วัสดุได้มาตรฐาน การทำงานหรือการปฏิบัติงานตามขั้นตอนที่ถูกต้องการฝึกอบรม การปฏิบัติตามข้อกำหนด เป็นต้น
ข.      การวางแผนฉุกเฉินและการซ้อมแผนฉุกเฉิน
ค.      แผนงานปรับปรุงแก้ไข
     แนวทางเพื่อลดความเสี่ยง โดยกำจัดหรือลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ ได้แก่
     กำหนดวิธีการทำงานหรือการปฏิบัติงานที่ถูกต้อง
     กำหนดระบบความปลอดภัย
     จัดให้มีการฝึกอบรม ซ้อมแผนฉุกเฉิน
     และตรวจประเมินความปลอดภัย


6. แผนตอบโต้ภาวะฉุกเฉินจากสารเคมี

6.1 การตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน Emergency Planning

          แผนป้องกันภาวะฉุกเฉินจากสารเคมี เพื่อแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ควรมีสัญญาณเตือนภัยกรณีเกิดเพลิงไหม้ หรือระเบิด ต้องรีบช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันที กั้นระยะทางออกถึงตำแหน่งความปลอดภัย ดูทิศทางลมและพยายามดับเพลิง
        - วิธีปฏิบัติเมื่อเกิดการหกหรือรั่วไหลของสารเคมีขึ้นอยู่กับ
         - ชนิดหรือประเภทของสารอันตราย
         - ลักษณะการรั่วไหลเป็นการรั่วไหลจากภาชนะประเภทใดเช่นถังเก็บขนาดใหญ่หีบห่อ ท่อส่งเป็นต้น
ทำการประเมินสถานการณ์ว่ามีอันตรายมากน้อยเพียงใด กำหนดแผนในการอพยพคน ไปในที่ปลอดภัย ดังนั้นจะต้องมีการกำหนดเขตขึ้นมาคือ

ก. บริเวณอันตราย(restricted zone หรือ hot zone หรือ red zone หรือ exclusion zone) เป็นบริเวณรอบที่เกิดเหตุ ผู้ที่จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่จะต้องผ่านการอบรมและสวมใส่ชุดระดับ และการเข้าไปปฏิบัติหน้าที่จะต้องเข้าไปเป็นคู่โดยมีอุปกรณ์ตรวจวัดไอระเหยของสารพิษ 


                                 
  ข.บริเวณจำกัด (limited zone หรือ warm zone หรือ yello zone) บริเวณที่มีอันตรายน้อยลง อยู่ถัดออกมา

                 ค.บริเวณสนับสนุน (support zone หรือ cold zone) เป็นเขตที่กำหนดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน และเป็นบริเวณที่ทำกำจัดการปนเปื้อน (decontamination)



รูป 6.2การปฏิบัติงานในเขตอันตราย


รูป 6.3การกำจักการปนเปื้อน

ผู้เข้าไปปฏิบัติงานจะต้องสวมใส่ชุดป้องกัน ซึ่งแบ่งป็น4 ระดับ ดังแสดงในรูป 6.4
                   ระดับ A เป็นชุดป้องกันสูงสุด ทั้งระบบหายใจ ผิวหนัง ตา ถุงมือกันสารเคมี รองเท้าหัวเหล็กกันสารเคมี ชุดกันสารเคมีที่สวมทั้งตัว เรียก vapol tight sutitและอุปกรณ์ในการหายใจ (self contain breathing) ใช้สำหรับการเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในเขตอันตรายในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน
ระดับ B เป็นชุดที่ประกอบด้วยอุปกรณ์หายใจเหมือนระดับ A ใช้สวมใส่ในการกำจัดการปนเปื้อน และช่วยสนับสนุนในการปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน
ระดับ C ประกอบด้วยหน้ากาก ชุดกันสารเคมี ถุงมือ และหน้ากากพร้อมท่อหายใจใช้ปฏิบัติงานบริเวณที่มีไอสารพิษ
ระดับ D เป็นชุดปฏิบัติงานทั่วไป เรียกว่า jump suit


รูป 6.4ชุดปฏิบัติงาน 4 ระดับ

6.2 การช่วยเหลิอผู้ประสบภัย (victim handing procedur)
เมื่อพบว่ามีผู้ประสบภัย ให้รีบช่วยเหลือออกจากบริเวณ ตรวจดูว่ามีการหายใจหรือไม่ และช่วยเหลือโดยใส่เครื่องช่วยหายใจ อย่าใช่วิธีด้วยปากเพราะจะทำใหห้ได้รับอันตราย ช่วยฝายปอดหรือกระตุ้นให้หายใจ ถ้ามีอาการช็อกจะต้องให้น้ำเกลือ
กำจัดการปนเปื้อนที่ร่างกาย โดยถอดเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนออกรวมทั้งรองเท้า นาฬิกา เครื่องประดับ และล้างมือด้วยน้ำปริมาณมากๆ เสื้อผ้าและสิ่งของปนเปื้อนจะเก็บใส่ถุงพอลิโพพิลีนเพื่อนำไปกำจัดอย่างถูกวิธีต่อไป   ถ้ากรณีผู้ประสบภัยบาดเจ็บมากต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล


รูป 6.5 เครื่องช่วยหายใจเพื่อช่วยเหลือผู้ปรระสบภัย

6.3 การกำจัดการปนเปื้อน (decontamination)
การกำจัดการปนเปื้อน ขั้นแรกคือนำบุคคล เสื้อผ้า อุปกรณ์ และสารเคมีออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ จากนั้นกำจัดซึ่งมีหลายวิธี
6.3.1 การกำจัดทางกายภาพ (physical removal) ใช้วิธีล้าง เช็ด ถู โดยใช้น้ำเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งน้ำจะช่วยลดความเข้มข้น สำหรับสารที่มีลักษณะเหนียว พวกกาว จะใช้วิธีการทำให้เป็นของแข็ง (solidification) หรือ การแช่เย็น (freezing)
ของเหลวใช้วัสดุดูดซับ และวางวัสดุซับล้อมรอบบริเวณป้องกันการแพร่กระจาย สารดูดซับ (adsorbent) ที่ใช้ทั่วไป เช่น ผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) ซึ่งสามารถดูดซับได้ทั้งสารอินทรีย์ และไอระเหยของสารได้ ถ้ามีไฟลุกเหนือของเหลวให้ดับไฟก่อน ถ้าเป็นเพลิงไหม้จากของเหลวไวไฟ ให้ใช้เครื่องดับเพลิงชนิดผงเคมีพ้นไปที่ไฟโดยตรง

6.3.2 การใช้สารเคมีเพื่อลดอันตราย (chemical inactivation) การเลือกสารเคมีในการกำจัดจะขึ้นอยู่กับชนิดและอันตรายของสารเคมี โดยทั่วไปนิยมใช้( sodiam hypochlorite sodiam hydroxide sodiam carbonate calcium oxide )หรือใช้ผงซักฟอก
สรุป
เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน อันดับแรก ต้องสำรวจบริเวณที่เกิดเหตุและกำหนดบริเวณอย่างเร่งด่วน สวมใส่ชุดอุปกรณ์ให้เหมาะสมและเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย สำรวจการรั่วไหล และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
6.4 แนวปฏิบัติในการจัดการความปลอดภัยในการทำงาน
ความปลอดภัยในการทำงานเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นจึงควรมีการวางแผนเพื่อทำการสำรวจสถานที่ทำงานให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ ปรับปรุงวิธีการป้องกันอุบัติเหตุ
ผู้บริหารควรวางระเบียบเกี่ยวกับการทำงานอย่างปลอดภัย สร้างนิสัย วินัย ในเรื่องความสะอาดและเป็ระเบียบ จัดให้มีการซ้อมแผนป้องกันอย่างสม่ำเสมอ จัดหาอุปกรณ์เครื่องมือเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน วางระบบป้องกันอัคคีภัย
พนักงานทุกคนต้องสำนึกถึงความปลอดภัย ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับในการ การทำงานอย่างปลอดภัยอยู่เสมอ ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันภัยและแต่งกายให้รัดกุมเหมาะสม

5 อุปกรณ์ป้องกัน

5.1 อุปกรณ์ในการป้องกันสำหรับบุคคล (personal  protective equipment)
        5.1.1 ป้องกันตาและหน้า (eye and face protection) แว่นตาป้องกันซึ่งทำด้วยแก้วหน้าหรือพลาสติกหนาอย่าง น้อย 3 มิลลิเมตร จะช่วยในการป้องกันตาขณะปฏิบัติงานเกี่ยวกับสารพิษ ไอระเหยของสารพิษอยู่หรือในบริเวณที่อาจมีอุบัติเหตุ
        ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์(Contact lenes) ขณะปฏิบัติงาน เนื่องจากไอและแก๊สที่อยู่ในห้องปฏิบัติการเนื่องจากไอของสารจะเข้าไปยัง เลนส์ ที่สัมผัสกับตา ทำให้เกิดอันตรายต่อตาได้ด้วยตรง เมื่อไอสารเข้าตาต้องที่รีบถอดเลนส์ออกมาและล้างให้สะอาด เลนส์แบบนุ่ม  (soft lenses) จะดูดซับไอของตัวทำละลายได้ดี
        การป้องกันใบหน้าทำได้โดยใช้หน้ากากบัง เผื่อป้องกันการกระเด็นของสารพิษ หรือบริเวณที่มีแก๊สอันตราย





รูป 5.1 อุปกรณ์ป้องกันตาและหน้า
               5.1.2 อุปกรณ์ป้องกันตัว (body protection) การสวมใส่เสื้อผ้าเป็นสิ่งสำคัญไม่ใส่เสื้อผ้ารุ่มร่าม เพราะอาจจะเกิดการติดไฟได้ หรือจุ่มสารเคมีขณะปฏิบัติงาน
             - การปฏิบัติงานต้องสวมเสื้อคลุม เมื่อปฏิบัติงานเสร็จต้องถอดและทำความสะอาด
              - ผ้ากันเปื้อนพลาสติกหรือยางจะช่วยป้องกันการกัดกร่อนของสารเคมีแต่ต้องระวังเนื่องจากพลาสติกจะเกิดการสะสมประจุไฟฟ้าสถิต อาจทำให้เกิดการเผาไหม้ได้จากประจุ
            5.1.3  อุปกรณ์ป้องกันมือ (hand protection) การสวมถุงมือเป็นการป้องกันสำหรับปฏิบัติงานกับสารที่เป็นอันตรายเช่นกรด สารพิษหรือของร้อน ถุงมือมีอายุการใช้งานขึ้นกับชนิดของวัสดุและความหนา
ถุงมือยางทำมาจากธรรมชาติ (natural rubber) นีโอพรีน (neoprene) หรือพอลิไวนิลคลอไรด์ (polyvinyl chloride)
ถุงมือหนังใช้ในการหยิบเศษแก้วไม่เหมาะที่จะใช้กับสารเคมี
-ถุงมือฉนวน (insulated gloves) เหมาะในการใช้งานที่ต้องเกี่ยวกับอุณหภูมิซึ่งถุงมือชนิดนี้ทำจากไยหิน (asbestos) แต่ปัจจุบันไม่นิยมเนื่องจากเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง




ตาราง 5.1 ถุงมือที่เหมาะกับชนิดของสารเคมี
5.1.4 อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ(respiratory protection) หน้ากาก (mask) ใช้ป้องกันไอระเหยของสารซึ่งอาจทำด้วยผ้า ใยสังเคราะห์



รูปที่ 5.2 อุปกรณ์ป้องกันระบบหายใจ
5.2 อุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการได้แก่
         5.2.1 อุปกรณ์ล้างตา (eyewash) ใช้สำหรับล้างตาเมื่อสารเข้าตาหรือไอระเหยเข้าตา






รูปที่ 5.3 อุปกรณ์ล้างตาและฝักบัว
          5.2.2 ฝักบัว (safety shower) ใช้สำหรับล้างตัวเมื่อสารเคมีหกราดตัวหรือไฟไหม้เสื้อผ้า
           5.2.3 เครื่องดับเพลิง (fire extinguisher) มีหลายประเภทได้แก่
           -โฟม (foam) เหมาะกับการดับไฟที่เกี่ยวกับสารเคมีเหลวน้ำมันเชื้อเพลิง
          - คาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide) ใช้กับการไหม้ที่เกิดจากตัวทำละลายอินทรีย์หรือจากไฟฟ้าสามารถใช้ในบริเวณที่มีเครื่องมือได้เนื่องจากจะเกิดการระเหยไป
         - ผงเคมีแห้ง (Met L-X) เป็นของแข็งที่มีสูตรพิเศษใช้กับการดับไฟที่เกิดจากการไหม้ของโลหะ
           นอกจากนี้น้ำสามารถใช้ดับไฟในการไหม้ธรรมดา
5.2.4 ตู้ดูดควัน (fume hood)
ตู้ดูดควันเป็นส่วนที่จำเป็นในการทำงานเกี่ยวกับสารที่ระเหยง่าย ไอสารที่เป็นพิษ