ต้องมีการระบุประเภทหรือของเสียนั้น มีการระบุความเป็นพิเศษ
ของเสียอันตราย (hazardous waste) หมายถึงที่เป็นทั้งของแข็งและของเหลว แต่ไม่
รวมกากรังสี เช่น
-โลหะหนัก เช่น ปรอท โครเมียม (VI) (chromium(VI))
-สารอินทรีย์อันตราย เช่น ไตรคลอโรเอธิลีน (trichloroethylene) เตตราคลอโรเอธิลีน
(tetrachloroethylene)
-ส่ารเคมีที่ไวไฟและก่อให้เกิดพิษต่อร่างกาย ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชิวิต
4.1 การจัดเก็บสารเคมี
การเก็บรวบรวมสารเคมีที่ใช้แล้ว โดยแบ่งเป็น 6กลุ่ม ในประเทศญี่ปุ่น ได้แก่
1.ของแข็งที่เป็นออกซิไดซิง (oxidative solid)
2.ของแข็งที่เผาไหม้ได้ (combustible solid)
3.สารที่เผาไหม้ได้เอง และสารที่ไม่ให้สัมผัสน้ำ (self igniting substances and
Substances which are not allowed to come into contact with water)
4.ของเหลวไวไฟ (flammable liquid)
5.สารที่ไวต่อปฏิกิริยา (self reactive substances)
6.ของเหลวที่เป็นออกซิไดซิง (oxidative liquid)
สำหรับสารที่ไม่สามารถเข้ากลุ่มได้ จะเก็บแยกออกไปการจัดเก็บ
-กากสารเคมีอันตรายที่ไม่เป็นของเหลว(hazardous liquid waste) เก็บในขวดหรือภาชนะ
เศษแก้ว หรือ เข็มที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ ให้เก็บ ในถังที่แข็งแรงซึ่งทำด้วยพลาสติก หรือเหล็ก สำหรับเข็มต้องหากล่องบรรจุให้ดี ป้องกันการสัมผัส
ของแข็งอื่นๆ เช่นถุงมือ กระดาษที่เปื้อนสารเคมีจะเก็บรวมกับเศษแก้วได้ ถ้าหากไม่ต้องการปนเปื้อน สามารถเก็บแยกใส่ถุง นำไปฝังกลบกับขยะมูลฝอยของเทศบาลได้ สารละลายของเหลวที่ไม่ไวไฟ และไม่มีพิษ สามารถปล่อยสู่ท่อระบายน้ำได้ โดยต้องอยู่ในปริมาณไม่เกินค่าควบคุม ดังแสดงในตาราง 4.1
ขวดสารเคมีเปล่าที่ไม่เป็นพิษ ในกรณีแก้ว สามารถล้างและนำไปใช้บรรจุสารอื่นต่อไปได้ ถ้าขวดบรรจุสารที่ เป็นพิษ ให้นำไปกำจัดอย่างถูกวิธี
สารติดเชื้อ ต้องนำไปผ่านการฆ่าเชื้อก่อนที่จะทิ้งไป โดยมีการติดฉลากว่าเป็นของเสียติดเชื้อ หรือสัตว์ทดลองสามารถนำไปเผาได้ แต่ต้องใส่ถุงปิดให้สนิท
สารกัมมันตรังสีจะต้องส่งไปกำจัดที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (พปส)
ตาราง 4.1 แสดงค่าความเข้มข้นของสารบางชนิดที่จะปล่อยลงสู่ท่อระบายน้ำได้
พารามิเตอร์
|
หน่วย
|
ความเข้มข้น
| ||
น้อย
|
ปานกลาง
|
มาก
| ||
1.ของแข็งทั้งหมด (Total Solids)
|
มก./ล.
|
350
|
720
|
1200
|
ของแข็งละลายน้ำ (Dissolved Solids)
|
มก./ล.
|
250
|
500
|
850
|
ของแข็งแขวนลอย (Suspended Solids)
|
มก./ล.
|
100
|
220
|
350
|
2.ปริมาณตะกอนหนัก (Settleable Solids)
|
มล./ล
|
5
|
10
|
20
|
3.ค่าบีโอดี (Biochemical Oxygen Demand;BOD)
|
มก./ล.
|
110
|
220
|
400
|
4.ค่าซิโอดี (chemical Oxygen Demand;COD)
|
มก./ล.
|
250
|
500
|
1000
|
5.ไนโตรเจนทั้งหมด (Total as N)
|
มก./ล.
|
20
|
40
|
85
|
อินทรีย์ไนโตรเจน (Organic)
|
มก./ล.
|
8
|
15
|
35
|
แอมโมเนีย (Free ammonia)
|
มก./ล.
|
12
|
25
|
50
|
ไนโตรท์ (Nitrites)
|
มก./ล.
|
0
|
0
|
0
|
ไนเตรท (Nitrate)
|
มก./ล.
|
0
|
0
|
0
|
6.ฟอสฟอรัสทั้งหมด (Total as P)
|
มก./ล.
|
4
|
8
|
15
|
สารอินทรีย์ (Organic)
|
มก./ล.
|
1
|
3
|
5
|
สารอนินทรีย์ (Inorganic)
|
มก./ล.
|
3
|
5
|
10
|
7. คลอไรด์ (Chloride)(1)
|
มก./ล.
|
30
|
50
|
100
|
8.ซัลเฟต (Sulfate)(1)
|
มก./ล.
|
20
|
30
|
50
|
9.สภาพด่าง (Alkalinity as CaCO3)
|
มก./ล.
|
50
|
100
|
200
|
10.ไขมัน (Grease)
|
มก./ล.
|
50
|
100
|
150
|
11.Total Coliform
|
MPN/100ml
|
106-107
|
107-108
|
107-109
|
4.2 การกำจัดสารเคมีที่ไม่ใช้แล้ว (Disposal of Unused Chemicals)
สารละลายอินทรีย์ สามารถกำจัดด้วยการเผาในเตาเผาของเหลว (liquid incinerator) โดยควบคุมอุณหภูมิประมาณ 900-1200 C
สารละลายอินทรีย์ สามารถกำจัดด้วยการเผาในเตาเผาของเหลว (liquid incinerator) โดยควบคุมอุณหภูมิประมาณ 900-1200 C
ของแข็งอินทรีย์ สามารถใช้วิธีเผาได้เช่นกันโดยใช้เตาเผาสำหรับของแข็ง (solid incinerator)
ถ้าเป็นสารกลุ่มเปอร์ออกไซด์ (peroxide) สารกลุ่มไตร (trinitro) ต้องนำไปเจือจางก่อนด้วยน้ำ หรือทำละลายที่เผาไหม้ได้
ของเหลวออินทรีย์ สารประเภทนี้มีวิธีการกำจัดยุ่งยาก เช่น กรดไนทริก กรดซัลฟูริก จะใช้วิธีการทำให้เป็นกลางด้วยสารละลายเบส เช่นโซเดียมไฮดรอกไซด์ ก่อนปล่อยลงสู่ท่อระบายน้ำ
กรดไฮโดรฟลูอริก (HF) กรดฟอสฟอริก (H₃PO₄) จะตกตะกอนเป็น CaF₂ หรือ Ca₃(PO₄)₂ ด้วยสารละลายแคลเซียม
ของแข็ง อนินทรีย์เช่นเกลือไซยาไนด์ กำจัดโดยนำไปละลายในน้ำและนำไปทำปฏิกิริยาออกซิดเช้น เพื่อเปลี่ยนให้อยู่ในรูปที่ไม่เป็นพิษหรือเข้าเตาเผาได้
สารปรอทต้องผ่านกระบวนกำจัดก่อน
4.3 การนำเกลือโลหะกลับมาใช้ใหม่ (Recovery of metal salts for reuse)
4.3.1 สารละลายที่มีเกลือซิลเวอร์ ( solution containing silver salts)
เนื่องจากสารประกอบของเงินมีราคาแพงดังนั้นจึงควรนำกลับมาใช้ใหม่โดยการเปลี่ยนกลับมาให้ดูรูปของเกลือซิลเวอร์ไนเทรท (silver nitrate) วิธีการควรทำในตู้ดูดควันสวมถุงมือและเสื้อคลุมขั้นตอนการนำกลับมาทำใหม่ขึ้นอยู่กับว่ามีส่วนประกอบของไซยาไนด์(cyanide) ประพนธ์หรือไม่ถ้ามีจะเกิดแก๊สพิษคือไฮโดรเจนไซยาไนด์(HCN) ต้องออกซิไดซ์ให้อยู่ในรูปของเกลือไซยาเนทก่อน
ก. กรณีไม่มีสัญญานายไอออนปะปนมีขั้นตอนดังนี้
นำกากสารละลายมาเติมกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น 6 M จะได้ประกอบนของซิลเวอร์คลอไรด์ จากนั้นลองนำตะกอนที่ได้มาละลายและตกตะกอนอีกครั้งจากนั้นกรองตะกอนแล้วล้างตะกอนด้วยน้ำนำตะกอนที่ได้มาต้มกับโซเดียมไฮดรอกไซด์ความเข้มข้น 40% เป็นเวลา 30 นาทีจะได้ตะกอนสีดำของซิลเวอร์ออกไซด์ (Ag₂O) จากนั้นกรองและล้างตะกอนด้วยน้ำเติมกรดไนทริกลงไปปริมาณมากเกินพอ เพื่อทำปฏิกิริยา ตะกอนที่ได้คือซิลเวอร์ไนเทรท
สรุปขั้นตอนที่เกิดขึ้นคือ Ag+AgCI =Ag₂O +AgNO₃
ข. กรณีมี ไซยาไนด์ปะปน วิธีการคือจะต้องเปลี่ยน ไซยาไนด์ ให้อยู่ในรูปที่มีความเป็นพิษน้อยลงโดยนำสารละลายกากของเสียมาทำปฏิกิริยากับโซเดียมไฮโปคลอไรท์เข้มข้น 5% ตั้งไว้ให้เย็นจากนั้นเติม 1% ของสารละลายเหล็ก(III)คลอไรด์(iron(III)chloride)ทำให้เป็น กรดด้วย 6M ไฮโดรคลอริก ถ้าสารละลายเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแสดงว่า ไซยาไนด์ ถูกเปลี่ยนเป็นไซยาเนท ถ้ามีตะกอนสีน้ำเงินแสดงว่ายังมี ไซยาไนด์ ตกค้าง ให้เติมสารละลาย ไฮโปคลอไรท์ ลงไปอีก สารละลายที่ผ่านการเปลี่ยน ไซยาไนด์ แล้ว นำมาเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนเทรทตามขั้นตอนใน ข้อ ก.
4.3.2 สารละลายที่มีเกลือนิกเกิล (solution containing nickel salts)
นำกากสารละลายมาเติมโซเดียมไฮดรอกไซด์ เข็มข้น 20% จนกระทั่งได้ตะกอนสีเขียวของนิกเกิลไฮดรอกไซด์ กรองและล้างตะกอนด้วยน้ำจนสารละลายเป็นกลาง จากนั้นนำตะกอนมาทำปฏิกิริยากับสารละลายกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น 6 M จะได้ตะกอนของนิกเกิลคลอไรด์ ขั้นตอนในการกลับคืนคือ
Ni²⁺ + Ni(OH)₂ =NiCl₂
4.3.3 สารละลายที่มีเกลือโคบอลต์ (solution containing cobalt salts)
นำกากสารละลายมาทำปฏิกิริยากับโซเดียมคาร์บอเนท จะได้ตะกอนของโคบอลต์คาร์บอเนท จากนั้นนำตะกอนที่ได้มาละลายด้วยกรดไฮโดรคลอริกเข้มข้น 6M ระเหยกรดจนแห้งจะได้ตะกอนของโคบอล์คลอไรด์
Co²⁺ + Na₂CO₃ + coCO₃ = coCl₂
4.4 การกำจัดกากสารเคมี (disposal of chemical waste)
4.4.1 สารละลายที่มีปรอทไอออน (solution containing mercury ions) นำกากสารละลายที่มีปรอทมาปรับ pH ให้เท่ากับ 10 ด้วยโซเดียมไฮดรอกไซด์ก่อน จากนั้นทำปฏิกิริยากับโซเดียมซัลไฟด์วิธีการควรทำในตู้ดูดควัน จะได้กอนของปรอทซัลไฟด์กรองตะกอนเพื่อนำไปฝังกลบอย่างถูกวิธีจะออกไป
Hg²⁺ + Na₂S = HgS + 2 Na⁺
4.4.2 สารละลายที่มีโครเมียมไอออน ( solution containing chromium ions)
นำสารละลายมาปรับ pH ให้เป็นกลางด้วยโซเดียมไฮดรอกไซด์ สารละลายจะเปลี่ยนจากสีส้มเป็นสีเขียวจากนั้นเติมกรดซัลฟูริกเข้มข้น 3 M จะได้สารละลายสีส้มอีกครั้งเติมตึกโซเดียมไธโอซัลเฟท จะได้สักลายสีน้ำเงิน ปรับ pH ให้เป็นกลาง จะได้สารแขวนลอยสีน้ำเงินแกรมเขียว กรองตะกอนตรวจสอบสารละลายว่ามีโครเมียม( III) ไม่เกิน 0.5 ppm ตะกอนที่ได้สามารถนำไปกำจัดอย่างถูกวิธีต่อไป
Cr₂O₃⁻ +3S₂O₃⁺² + 2H₂O =2 Cr(OH)₂ + 3 SO₄²⁻ + 3S
4.4.3 สารออกซิไดซิง (oxidizing agent)
เช่นโพเทสเซียมเปอร์แมงกาเนท โซเดียมคลอเรท โซเดียมเปอร์ไอโอเดท โซเดียมเปอร์ซัลเฟท เป็นต้น วิธีการกำจัดคือต้องรีดิวซ์ ก่อนปล่อยลงสู่ท่อระบายน้ำทิ้ง โดยทำปฏิกิริยากับ 10% โซเดียมเมตาไบซัลไฟท์ (sodium metabisulfite)
4.4.4 กรดพิคริก (picric acid)
กรดพิคริก ในสภาพแห้งจะระเบิดได้ง่ายดังนั้นสารละลาย picric acid ที่บรรจุในขวดบางส่วนตัวทำละลายอาจระเหยไป สารเกาะติดที่ฝาขวดเมื่อเปิดขวด เกิดแรงเสียดสีจากการหมุนฝาจะทำให้ระเบิดได้
การลดประสิทธิภาพของการระเบิดโดย รีดิวซ์ด้วยดีบุกและกรด เพื่อ เปลี่ยนเป็นไตรอะมิโนฟีนอล (triaminophenol) ดังสมการ
4.4.5 ไซยาไนด์ (cyanide)
เกลือไซยาไนด์เป็นสารพิษการลดพิษทำได้ โดยออกซิไดซ์ให้เป็น ไซยาเนทแทน
4.4.6 สารกลุ่มไนไทรล์ (nitrile)
กำจัดโดยใช้หลักการทำให้เป็นสารที่ไม่มีพิษ
4.6 การเคลื่อนย้ายสารเคมี (cgemical transportation)
การเคลื่อนย้ายสารเคมีรวมทั้งจากของเสียต้องระวังความปลอดภัยโดยมีอุปกรณ์ใส่ขวดสารจากทุกชนิดจะต้องมีการติดฉลาก(label) ที่ข้างผาชนะเสมอเพื่อสะดวกในการกำจัดระมัดระวังในการขนย้ายการขนย้ายต้องใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมเช่นขวดพลาสติกและขนย้ายได้ง่ายกว่าขวดแก้ว
กล่องพอลิเอธิลีน (polyethylene) จะดีกว่ากระดาษใช้ถาดหรือกล่องกระดาษขนย้าย อย่าให้หนักเกินไปเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น