ก. สถานที่เก็บสารเคมี
ต้องปลอดภัย อยู่ห่างจากบริเวณที่มีประชาชนหนาแน่น อากาศถ่ายเทสะดวก ของเหลวไวไฟและแก๊สต้องเก็บนอกอาคาร มีทางเข้าออกอย่างน้อยสองทาง เพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติงานหากมีอุบัติภัยเกิดขึ้น
จัดทำแผนผังแสดงตำแหน่งอุปกรณ์ผจญเพลิง ทางหนีไฟ
รูป เครื่องหมายความปลอดภัย
ข.ชั้นวางขวดสารเคมี
ชั้นวางสารเคมีทำด้วยวัสดุปลอดสนิม เพื่อป้องกันการผุกร่อน ชั้นล่างสุดควรจะสูงจากพื้นพอสมควร การจัดวางสารเคมีต้องไม่สูงเกินไป สะดวกในการหยิบใช้ แยกเก็บสารเคมีอันตรายต่างประเภทออกจากกัน สารเคมีไวไฟที่บรรจุในภาชนะตั้งแต่ 20 ลิตรขึ้นไป ควรมีอาคารเก็บ โดยเฉพาะแยกห่างจากอาคารอื่น เพื่อป้องกันอันตรายจากอัคคีภัย ความสูงของชั้นสูงสุด อยู่ในระดับที่มองเห็น มีจำนวนชั้นเพียงพอต่อการจัดเก็บ ไม่แออัด ต้องมีการจัดทำเนียบสารเคมีและระบุตำแหน่งที่เก็บ
3.3 การจัดการสารเคมี (Chemical handing procedure)
การจัดการสารเคมี ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการจัดเก็บ และการเคลื่อนย้าย ในกรณีสารไวไฟจะต้องมีความระมัดระวังมาก เนื่องจากอาจก่อให้เกิดไฟไหม้ หรือเสียชีวิตได้เนื่องจากของเหลวที่มีคุณสมบัติไวไฟ ไอของสารจะมีความหนาแน่นกว่าอากาศ ดังนั้นไอของสาร จะตกลงสู่ด้านล่าง ไม่ถ่ายเท ดังนั้นจึงจำเป็นต้อง ศึกษาคุณสมบัติของสาร
ก. สารไพโรฟอริก (Pyrophoric chemicals) คือสารที่เมื่ออยู่ภายใต้อากาศ หรือทำปฏิกิริยากับความชื้นในอากาศจะเกิดการลุกติดไฟได้เอง
สารประเภทนี้ จะต้องเก็บในภาชนะที่ปิดสนิท และเมื่อนำมาใช้งาน จะต้องเก็บภายใต้บรรยากาศของแก๊สเฉื่อย หรือของเหลว
ข. สารผสมที่ติดไฟ (Hypergolic mixture) เป็นของผสมที่สามารถเกิดปฏิกิริยา กันแล้วลุกติดไฟได้เอง ปฏิกิริยาบางคู่จะช้า บางคู่จะเร็ว เช่น
กรดเปอร์คลอริก และ ผงแมกนีเซียม (magnesium powder) เมื่อผสมกันจะทำให้เกิดเปลวไฟสีขาวขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับ กรดไนทริก ผสมกับฟีนอล เอซิโทน ผสมกับกรดไนทริก
โพแทชเซียมเปอร์แมงเนท ผสมกับกรดไนทริก จะเกิดเปลวไฟแดงเมือ่ผสมกับแอลกอฮอล์
ดังนั้นในการผสมสารให้เข้ากันควรระมัดระวัง
ค. สารเปอร์ออกไซด์อินทรีย์ (Organic peroxides) สารประเภทนี้ไม่เสถียร ไวต่อความร้อน การเสียดสี ไวต่อสารพวกออกซิไดซิง หรือ รีดิวซิง และก่อให้เกิดอันตรายได้ เมื่อมีสะเก็ดไฟหรือเปลวไฟ อาจเกิดการระเบิดได้
สารประเภทนี้แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
Class A: เป็นสารที่เกิดการระเบิดได้โดยไม่เกี่ยวกับปริมาณหรือความเข้มข้น เช่น ไดไอโซพรอพิลอีเธอร์ (diisopropyl ether) ไดไวนิลเอเซทีลีน (divinyl acetylene) ไวนิลิดีนคลอไรด์ (vinylidine chloride)
สารประเภทนี้เมื่อเปิดใช้แล้ว 3 เดือนต้องตรวจการหมดอายุ ถ้าหมดอายุต้องนำไปกำจัด โดยทำปฏิกิริยากับโลหะโพแทชเซียมเอไมด์ ในบรรยากาศ เพื่อเปลี่ยนเป็นซุเปอร์ออกไซด์ (super oxide)
Class B: ความเป็นอันตรายจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของการระเหย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น ไดเอทิลอีเธอร์ (diethyl ether) ไดไวนิลอีเทอร์ (divinyl ether) ไดออกซิน (dioxine) เอธิลีนกลัยคอล (ethyleneglycol) ไดเมทิลอีเธอร์ (dimethylether) เตตราโฮโดรฟูราน (tettrahydrofuran)
นอกจากนี้ยังมีสารพวกไฮดรอคาร์บอนที่ไม่อิ่มตัว เช่น เอเซทิล (acetyl) คิวมีน (cemene) ไซโคลเฮกซีน (cyclohexene) ไดเอเซทิลีน (diacetylene) เมทิลไอโซบิลทิลคีโทน (methylisobutyl ketone) เมธิลเอเซทิลีน (methylacetylene) เตตราไฮโดรแนพธาลีน (tetrahydronaphthalene) เป็นต้น
สารกลุ่มนี้ เมื่อเปิดใช้ไป 12 เดือนจะต้องตรวจสอบ ถ้าหมดอายุต้องนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี
Class C: เป็นสารที่จะเกิดปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชัน (polymerization) ได้ เช่น กรดอะคริลิก (acrylic acid) อะคริโลไนไทล์ (acrylonitrile) บิวตาไดอีน (butadiene) คลอโรพลีน (chloroprene) คลอโรไตรฟูออโรเอทิลีน (chlorotrifuoroethylene) เมธิลเมธาคริเลท (methylmethacrylate) สไทรีน (styrene) เตตราฟูออโรเอทิลีน (tetrafluoroethylene) ไวนิลเอเซธิลีน (vinylacetylene) ไวนิลคลอไรด์ (vinylchloride) ไวนิลไพริดีน (vinylpyridine)
สารประเภทนี้เมื่อเปิดใช้ไปแล้ว 12 เดือนต้องตรวจสอบการหมดอายุ การกำจัดทำเช่นเดียวกับ Class B
การจัดการสารกลุ่มเปอร์ออกไซด์ จะต้องป้องกันการเกิดปฏิกิริยา โดยเก็บในภาชนะที่ปราศจากอากาศ มักเก็บในบรรยากาศของไนโทรเจน ยกเว้น Class C ซึ่งเก็บในภาชนะที่มีอากาศจำกัด
ห้ามใช้ช้อนตักสารโลหะ สำหรับสารกลุ่มนี้ เนื่องจากการปนเปื้อนของโลหะจะทำให้สารสลายตัวและระเบิดได้ ดังนั้นให้ใช้ช้อนที่ทำด้วยกระเบื้องหรือไม้
ลดความเสี่ยงของการระเบิดโดยเก็บที่อุณหภูมิต่ำๆ เช่นจุดเยือกแข็ง ส่วนสารละลายหรือของเหลวจะไม่เก็บที่จุดเยือกแข็ง เพราะการแข็งตัวจะกระตุ้นให้เกิดการสลายตัวเร็ว
การทิ้งสาร จะต้องเจือจางก่อนโดยทิ้งในขวดพอลิเอธิลีน (polyrthylene) ซึ่งมีสารรีดิวซ์อยู่ด้วย เช่น เหล็ก(II)ซัลเฟท (iron(II)sulfate) หรือโซเดียมไบซัลไฟท์ (sodium bisulfite) แล้วจึงนำไปกำจัดอย่างถูกวิธีโดยไม่ปนเปื้อนกับของเสียอื่น
ถ้าภาชนะที่บรรจุสารเปอร์ออกไซด์ผุหรือกัดกร่อน จะต้องนำไปจำกัดโดยการควบคุมอย่างดี
ง. สารที่เกิดปฏิกิริยากับน้ำ (Water reactive chemicals) เช่น ลิเทียม (Li) ผงแมกเนเซียม (Mg) จะเกิดการสลายตัวในน้ำ และเกิดการเผาไหม้ได้ เกล็ดโซเดียม (Na) ซีเซียม (Cs) สามารถเกิดการระเบิดได้ในน้ำ แคลเซียมคาร์ไบด์ (calcium carbide) ทำปฏิกิริยากับน้ำ จะเกิดการระเบิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีสารหลายชนิดที่เกิดปฏิกิรยากับน้ำแล้วเกิดการคายความร้อน ตัวอย่างสารกลุ่มนี้ ได้แก่ ซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ (sulfur trioxide)
โลหะไฮไลด์แอนไฮดรัส (anhydrous metal halide) เช่น อะลูมิเนียมโบรไมด์ (aluminium bromide) เจอร์มาเนียมคลอไรด์ (germanium chloride)
โลหะออกไซด์แอนไฮดรัส (anhydrous metal oxides) เช่น ซีเซียมไตรออไซด์ (cesium trioxide) แคลเซียมออกไซด์ (calcium oxide)
-สารประกอบเฮไลด์เช่น บอรอนไตรโบรไมด์ (borontribromide) ฟอสฟอรัสเพนตาคลอไรด์ (phosphorous pentachloride) ฟอสฟอริลคลอไรด์ (phosphoryl chloride) ซัลไฟนิลคลอไรด์ (sulfinyl chloride)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น